เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
New Continent : South AmericaKanSiri
ตอนที่ 3 อาณาจักรที่สาบสูญ Machu Picchu
  •            ใช่แล้วมันคือที่ที่ผมอยากมามากที่สุด วันที่ 2 ที่ Cusco ผมต้องตื่นตั้งแต่ ตี 4 เพื่อที่จะขึ้นไปยังที่ตั้งของดินแดน อารยธรรมที่สาบสูญของชาวอินคาใช่แล้วครับ มันคือ Machu Picchu หนึ่งในสิ่ง
    มหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ที่นักเดินทาง นักผจญภัย นักไต่เขา ช่างภาพ ช่างทำผมช่างอะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ช่างแม่* ฮ่าๆ อยากจะมาและต้องมาให้จงได้ และในที่สุดมันก็เป็นวันของผมพยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้จะมีเมฆนิดหน่อย โอเค อย่ามีฝนก็พอ

                อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรก ผมให้ทัวร์ทำให้ทุกอย่าง หน้าที่ของเราก็คือทำตามที่ทัวร์บอกโรงแรมก็จะเรียกรถมารับเราให้ไปขึ้นรถทัวร์ จะให้ตั๋วรถทัวร์ ตั๋วรถไฟตั๋วเขาสถานที่ไว้ให้ ซึ่งเราไม่ต้องจองเองเลย ส่วนตัวผม ราคานี้ถือว่าคุ้มนะใครรู้สึกไม่คุ้มก็ลองไปหาบนอินเตอร์เน็ตได้ ผมว่าก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ แค่แบบเหนื่อยกับการแพลนอะ ถ้าคนเที่ยวบ่อยๆก็คงเข้าใจได้ว่าการจัดตารางเที่ยวเป็นอะไรที่....เหนื่อย ใช้สมองและเสียเวลามากกกก


                ขาแรกเรานั่งจากสถานีรถทัวร์ไปลงสถานีรถไฟที่เมือง Ollantaytambo ก่อน เดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงได้ เมืองนี้ก็จะอยู่ท่ามกลางเทือกเขาแอนดีส (Andes) เทือกเขาที่ยาวที่สุดในโลกกินพื้นที่หลายประเทศในอเมริกาใต้รวมถึงเปรูด้วย ในมุมมองของผมเมืองนี้ให้ความรู้สึกเหมือนหมู่บ้านในสวิตเซอร์แลนด์แต่ให้ความต่างทางด้านวัฒนธรรมและสภาพอากาศ พอมาถึงปุ๊บคนพาทัวร์ก็จะพาไปขึ้นรถไฟต่อ เป็นรถไฟไปสู่ทางขึ้นมาชูปิกชู รถไฟสายนี้สวยมากมีแม่น้ำ เทือกเขาให้ชมเกือบตลอดทั้งสาย เป็นการชมความงามของเทือกเขาแอนดีส ใช้เวลาเดินทางไปถึง Machu Picchu Station ใช้เวลาเกือบๆ 3 ชั่วโมง พอมาถึงปุ๊บเราก็ต้องนั่งรถบัสต่อขึ้นไปอีก จริงๆจะเดินทาง Inca Trail ก็ได้ถ้าร่างกายต้องการเหงื่อ แต่สำหรับผมคือไม่ และที่สถานีรถไฟนี่แหละ เป็นจุดนัดพบให้ผมได้มาเจอกับไกด์ที่จะพาผมนำเที่ยวรอบมาชูฯ

                บอกไว้ก่อนว่าตรงสถานีรถไฟนี้แหละที่มีร้านขายของร้านขายของฝากมากมายราคาถูกกว่าที่ Cusco และน่ารักกว่ามาก แนะนำให้มาดูของที่นี่ก่อนที่จะไปซื้อที่ Cusco เพราะอาจจะเสียใจในเรื่องราคาได้ เอ่อแต่ผมขอไปเที่ยวก่อนจะมาเดินดูของแล้วกัน

                การนั่งรถบัสขึ้นไปด้านบนเพื่อนไปทางเข้ามาชูฯ ใช้เวลาราวๆ 20 นาที ถ้าเดินไม่แน่ใจว่ากี่ชั่วโมง แต่ใครจะเดินก็เชิญนะ หลังจากทริปสวิสแล้วตัวผมขอบายขอเก็บร่างกายไว้ปีนป่ายที่อื่นจริงๆ  ร่างกายคือบอกอายุมาก ฮ่าๆ โอ้ยยยใครมันเลือดนักสู้ก็ไปเลย


                ไกด์ของผมเป็นผู้หญิงชื่อเซริเลีย ขอเรียกสั้นๆว่าเจ๊เซนะ ชื่อยาวจัด เป็นบริการไกด์แบบส่วนตัวง่ายๆลูกทัวร์มีแค่ฉันคนเดียว เที่ยวแบบติดแกลมสุดๆ พอเราได้มีโอกาสแนะนำตัวหอมปากหอมคอ สิ่งแรกที่ผมถามเจ๊เซก็คือทำไมบนหลังคามันต้องมีตุ๊กตาด้วย ขออภัยที่ไม่มีรูป แต่ถ้าไปที่ Cusco หลายหลังคาเรือนจะมีการใส่ตุ๊กตาไว้บนหลังคา เจ๊เซ อธิบายง่ายๆเรียบๆว่า “It is for protecting from devils” ใช่แล้ว ความเชื่อนี้มันมีเอาไว้ป้องกันจากปีศาจคอนเซปท์เดียวกับศาลพระภูมิบ้านเราเป๊ะ เอาไว้ปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป ไม่ให้เข้ามา ชาวอินคามีความเชื่อเรื่องปีศาจเลยไม่แปลกที่จะเห็นตุ๊กตาบนหลังคาในหลายๆครัวเรือน

                ระหว่างนั่งรถบัสมาที่มาชูฯ เราก็คุยกันเพลินๆแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จนกระทั่วเรามาถึงทางเข้ามาชูฯ แล้วโอ้ยคนเยอะ แต่ไม่มากเพราะเค้ามีมาตรการจำกัดนักท่องเที่ยวใครจะมาแนะนำต้องจองล่วงหน้า 2-3 เดือนนะ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน อ่อ เค้าตรวจพาสปอร์ทด้วยนะ อย่าลืมติดมาระหว่าทางเดินขึ้นไปเราก็จะเห็นเทือกเขาเขียวขจี สลับกันไปมามันสวยคนละแบบกับสวิสเลย ยิ่งเห็นก็ยิ่งใจฟู เดินทางครึ่งค่อนโลกวันนี้เรามาทำตามความฝันเราแล้ว

  •            แล้วฉากแรกที่เห็นมาชูปิกชูคือ Wowww ว้าวมาก แบบไม่ผิดหวังกับการเดินทางและรอคอย จริงๆในภาพว่าสวยแล้วของจริงคือ Amazing มากมันสะกดสายตาเราจนแบบถ่ายรูปไว้ไม่หยุด 
    อารยธรรม ที่สูญหายทุกวันนี้เรามีเทคโนโลยีมากมาย ที่ทำให้เราเข้าถึงได้ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังทึ่งคนสมัยก่อนที่เค้าไม่ได้มีเทคโนโลยีก้าวหน้าแบบเราเค้าทำได้ยังไงกัน ผมจะมาเล่าความน่าทึ่งจากคำบอกเล่าเจ๊เซให้ฟัง


                เริ่มแรกเดิมทีชื่อเดิมของมาชูปิกชู ไม่ได้ชื่อมาชูปิกชู แต่ชื่อ Huayna Picchu ต่างหาก แต่เพราะตอนนั้นยังไม่ได้มีการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์อะไรมากมายมันก็เลยถูกตั้งตามการค้นพบนั่นแหละ (แปลว่าภูเขาโบราณ ตามชื่อมาชูปิกชู) ตอนที่ชาวอเมริกันค้นพบ (Hiram Bingham) เค้าพบแบบที่มันเป็นซากๆ มีต้นไม้ปกคลุมมากมาย (เพราะมันไม่ได้ถูกถางมานาน)

                มาชูปิกชูน่าจะถูกสร้างเมื่อ 500-600 ปีที่แล้วตามวิสัยทัศน์ของผู้นำเผ่าอินคาในตอนนั้น หลักๆเลยคือเค้าต้องการหาที่ตั่งมั่นสำหรับการเก็บเกี่ยวอาหารแต่ขณะเดียวกับก็เอาไว้หลบภัยห่างไกลจากสายตาผู้คนเผ่าอื่น (จากคำบอกเล่าของเจ๊เซตามเคย) ง่ายๆก็คือ ต้องการสร้างดินแดนลับแลนั่นแหละซึ่งการมาที่หุบเขาแห่งนี้ก่อนจะกลายมาเป็นมาชูฯ นั้น ผู้นำมีความเชื่อว่าตรงนี้แหละอุดมสมบูรณ์ อากาศดี ที่ทำเลเหมาะ และห่างไกลจากสายตาผู้คนเพราะกว่าจะมาที่นี่ได้คือต้องฝ่าดงมานะเออ ไม่ได้นั่งรถไฟปู๊นเดียวถึงเหมือนสมัยนี้ ไหนจะสัตว์มีพิษอีกมากมาย การมาถึงที่นี่จากเมือง Cusco ก็คือต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์เลยนะ ไม่ใช่แบบ 4-5 ชั่วโมงแบบเรา

                พอมาถึงปุ๊บผู้นำเผ่าก็เลยบอกว่า ที่นี่แหละเราจะสร้างสถานที่สำหรับการเพาะปลูก และการหลบซ่อนใครจะรู้เวลาเกิดภัยธรรมชาติใดๆ เราจะไปอยู่ที่ไหน ที่นี่แหละเหมาะสุดการเดินทางจาก Cusco มาก็จะมีประตูลับซึ่งภายหลังก็ถูกค้นพบ และกลายมาเป็น อินคาเทรล ในปัจจุบัน


                ในช่วงล่าอาณานิคมพวกสเปนเจอทางลับจากเมือง Cusco แต่ไม่เคยมาถึงมาชูฯ เลยเพราะการเดินทางมาอย่างที่บอกยากมาก และใช้เวลาแรมอาทิตย์ หรืออาจจะมากกว่านั้นและชาวอินคาที่หลบหนีการฆ่าพวกชาวอินคาใน Cusco ก็กักขังชุมชนตัวเองอยู่ในมาชูฯ นี่แหละ ตั้งแต่นั้นมาชูฯก็เลยเป็นเมืองปิด และไม่มีคนเคยค้นพบอีกเลยจนกระทั่งการค้นพบของนักสำรวจชาวอเมริกัน

                มันฝรั่งน่าจะเป็นพืชหลักในการเพาะปลูกการออกแบบเมืองและชลประทานในมาชู แสดงถึงความล้ำสมัยของเทคโนโลยีในยุคนั้นการก่อสร้างหลายๆอย่างแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการใช้เพาะปลูกอย่างแท้จริงในขณะเดียวกันก็มีเรื่องความเชื่อ การสร้างวิหาร ที่มีการเอาใจใส่ในการขัดถูหินให้มีลักษณะเหลี่ยมสวยงาม สำหรับการบูชาและการก่อสร้างที่ทนน้ำทนฝนและแผ่นดินไหว ที่ทำให้มาชูยังมีสภาพแทบจะสมบูรณ์มาถึงทุกวันนี้เค้าสร้างโดยใช้แค่หินเรียงๆกันแต่มันไม่เคยพังเลย มหัศจรรย์มากๆ

                ถ้าได้มีโอกาสมาจะรู้ว่าทำเลมาชูฯ นั้น อากาศดีมาก ไม่แปลกเลยถ้าทฤษฎีที่ว่าสร้างสำหรับการเกษตรจะเป็นเรื่องจริง


                ความสวยงามของมาชูปิกชูสะกดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนมากมาย และเพราะความคิด ฝีมือ ที่ทำให้เมืองแห่งนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ก็คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะการก่อสร้างมันล้ำมากยิ่งในยุคที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรมากมาย ถ้าใครเคยไปโคลอสเซียมที่อิตาลีก็คงจะเข้าใจดีว่าทำไม ที่นั่นถึงได้เป็นสิ่ง
    มหัศจรรย์ของโลกได้ พื้นฐานวิศวกรรมและการออกแบบที่ มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคนั้น สะท้อนให้เห็นว่าสมองมนุษย์ไม่ว่าจะยุคไหนๆ มันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งเสมอ

                และนักเดินทางอย่างเรา จะพลาดได้ยังไงผมเชื่อนะที่นี่คือสถานที่ในฝันของนักเดินทาง ช่างภาพ หรือคนอีกจำนวนมากถ้ามีโอกาส ผมบอกเลย มันคือที่ ที่ครั้งนึงในชีวิตต้องมาให้ได้เป็นกำลังใจให้นักล่าฝัน หลังจากที่ผมเดินชมกับไกด์เป็นเวลา 3-4 ชั่วโมง ก็ถึงเวลาบอกลา และมาซื้อของฝาก ก่อนที่จะนั่ง ผจญภัยกลับไปยัง Cusco อีกครั้ง
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
alexrodrigo (@alexrodrigo)
Очень захватывающий рассказ о Мачу-Пикчу — каждое упоминание об этом месте будто переносит в атмосферу древних цивилизаций. Таинственная архитектура, история исчезнувшего народа и невероятные пейзажи действительно завораживают. Такие статьи вдохновляют на мечты о путешествиях, новых открытиях и, может быть, даже на небольшие авантюры. Иногда, чтобы прочувствовать дух приключений, совсем не обязательно ехать в Перу — можно просто немного поиграть в атмосферной онлайн-среде. Я, например, иногда захожу на pinco-kz-casino.com, чтобы почувствовать азарт и окунуться в мир загадок и удачи — всё с комфортом и без визы.