ใช่แล้วมันคือที่ที่ผมอยากมามากที่สุด วันที่ 2
มหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ ที่นักเดินทาง นักผจญภัย นักไต่เขา ช่างภาพ ช่างทำผมช่างอะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่ช่างแม่* ฮ่าๆ อยากจะมาและต้องมาให้จงได้ และในที่สุดมันก็เป็นวันของผมพยากรณ์อากาศบอกว่าวันนี้จะมีเมฆนิดหน่อย โอเค อย่ามีฝนก็พอ
อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรก ผมให้ทัวร์ทำให้ทุกอย่าง หน้าที่ของเราก็คือทำตามที่ทัวร์บอกโรงแรมก็จะเรียกรถมารับเราให้ไปขึ้นรถทัวร์ จะให้ตั๋วรถทัวร์ ตั๋วรถไฟตั๋วเขาสถานที่ไว้ให้ ซึ่งเราไม่ต้องจองเองเลย ส่วนตัวผม ราคานี้ถือว่าคุ้มนะใครรู้สึกไม่คุ้มก็ลองไปหาบนอินเตอร์เน็ตได้ ผมว่าก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ แค่แบบเหนื่อยกับการแพลนอะ ถ้าคนเที่ยวบ่อยๆก็คงเข้าใจได้ว่าการจัดตารางเที่ยวเป็นอะไรที่....เหนื่อย ใช้สมองและเสียเวลามากกกก
ขาแรกเรานั่งจากสถานีรถทัวร์ไปลงสถานีรถไฟที่เมือง Ollantaytambo ก่อน เดินทางประมาณ 2
บอกไว้ก่อนว่าตรงสถานีรถไฟนี้แหละที่มีร้านขายของร้านขายของฝากมากมายราคาถูกกว่าที่ Cusco
การนั่งรถบัสขึ้นไปด้านบนเพื่อนไปทางเข้ามาชูฯ ใช้เวลาราวๆ 20 นาที ถ้าเดินไม่แน่ใจว่ากี่ชั่วโมง แต่ใครจะเดินก็เชิญนะ หลังจากทริปสวิสแล้วตัวผมขอบายขอเก็บร่างกายไว้ปีนป่ายที่อื่นจริงๆ ร่างกายคือบอกอายุมาก ฮ่าๆ โอ้ยยยใครมันเลือดนักสู้ก็ไปเลย
ไกด์ของผมเป็นผู้หญิงชื่อเซริเลีย ขอเรียกสั้นๆว่าเจ๊เซนะ ชื่อยาวจัด เป็นบริการไกด์แบบส่วนตัวง่ายๆลูกทัวร์มีแค่ฉันคนเดียว เที่ยวแบบติดแกลมสุดๆ พอเราได้มีโอกาสแนะนำตัวหอมปากหอมคอ สิ่งแรกที่ผมถามเจ๊เซก็คือทำไมบนหลังคามันต้องมีตุ๊กตาด้วย ขออภัยที่ไม่มีรูป แต่ถ้าไปที่
ระหว่างนั่งรถบัสมาที่มาชูฯ เราก็คุยกันเพลินๆแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม จนกระทั่วเรามาถึงทางเข้ามาชูฯ แล้วโอ้ยคนเยอะ แต่ไม่มากเพราะเค้ามีมาตรการจำกัดนักท่องเที่ยวใครจะมาแนะนำต้องจองล่วงหน้า 2-3
แล้วฉากแรกที่เห็นมาชูปิกชูคือ
อารยธรรม ที่สูญหายทุกวันนี้เรามีเทคโนโลยีมากมาย ที่ทำให้เราเข้าถึงได้ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังทึ่งคนสมัยก่อนที่เค้าไม่ได้มีเทคโนโลยีก้าวหน้าแบบเราเค้าทำได้ยังไงกัน ผมจะมาเล่าความน่าทึ่งจากคำบอกเล่าเจ๊เซให้ฟัง
เริ่มแรกเดิมทีชื่อเดิมของมาชูปิกชู ไม่ได้ชื่อมาชูปิกชู แต่ชื่อ Huayna Picchu ต่างหาก แต่เพราะตอนนั้นยังไม่ได้มีการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์อะไรมากมายมันก็เลยถูกตั้งตามการค้นพบนั่นแหละ (แปลว่าภูเขาโบราณ ตามชื่อมาชูปิกชู) ตอนที่ชาวอเมริกันค้นพบ (Hiram Bingham) เค้าพบแบบที่มันเป็นซากๆ มีต้นไม้ปกคลุมมากมาย (เพราะมันไม่ได้ถูกถางมานาน)
มาชูปิกชูน่าจะถูกสร้างเมื่อ 500-600 ปีที่แล้วตามวิสัยทัศน์ของผู้นำเผ่าอินคาในตอนนั้น หลักๆเลยคือเค้าต้องการหาที่ตั่งมั่นสำหรับการเก็บเกี่ยวอาหารแต่ขณะเดียวกับก็เอาไว้หลบภัยห่างไกลจากสายตาผู้คนเผ่าอื่น (จากคำบอกเล่าของเจ๊เซตามเคย) ง่ายๆก็คือ ต้องการสร้างดินแดนลับแลนั่นแหละซึ่งการมาที่หุบเขาแห่งนี้ก่อนจะกลายมาเป็นมาชูฯ นั้น ผู้นำมีความเชื่อว่าตรงนี้แหละอุดมสมบูรณ์ อากาศดี ที่ทำเลเหมาะ และห่างไกลจากสายตาผู้คนเพราะกว่าจะมาที่นี่ได้คือต้องฝ่าดงมานะเออ ไม่ได้นั่งรถไฟปู๊นเดียวถึงเหมือนสมัยนี้ ไหนจะสัตว์มีพิษอีกมากมาย การมาถึงที่นี่จากเมือง Cusco ก็คือต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์เลยนะ ไม่ใช่แบบ 4-5 ชั่วโมงแบบเรา
พอมาถึงปุ๊บผู้นำเผ่าก็เลยบอกว่า ที่นี่แหละเราจะสร้างสถานที่สำหรับการเพาะปลูก และการหลบซ่อนใครจะรู้เวลาเกิดภัยธรรมชาติใดๆ เราจะไปอยู่ที่ไหน ที่นี่แหละเหมาะสุดการเดินทางจาก Cusco มาก็จะมีประตูลับซึ่งภายหลังก็ถูกค้นพบ และกลายมาเป็น อินคาเทรล ในปัจจุบัน
ในช่วงล่าอาณานิคมพวกสเปนเจอทางลับจากเมือง Cusco แต่ไม่เคยมาถึงมาชูฯ เลยเพราะการเดินทางมาอย่างที่บอกยากมาก และใช้เวลาแรมอาทิตย์ หรืออาจจะมากกว่านั้นและชาวอินคาที่หลบหนีการฆ่าพวกชาวอินคาใน Cusco ก็กักขังชุมชนตัวเองอยู่ในมาชูฯ นี่แหละ ตั้งแต่นั้นมาชูฯก็เลยเป็นเมืองปิด และไม่มีคนเคยค้นพบอีกเลยจนกระทั่งการค้นพบของนักสำรวจชาวอเมริกัน
มันฝรั่งน่าจะเป็นพืชหลักในการเพาะปลูกการออกแบบเมืองและชลประทานในมาชู แสดงถึงความล้ำสมัยของเทคโนโลยีในยุคนั้นการก่อสร้างหลายๆอย่างแสดงให้เห็นถึงความสำคัญในการใช้เพาะปลูกอย่างแท้จริงในขณะเดียวกันก็มีเรื่องความเชื่อ การสร้างวิหาร ที่มีการเอาใจใส่ในการขัดถูหินให้มีลักษณะเหลี่ยมสวยงาม สำหรับการบูชาและการก่อสร้างที่ทนน้ำทนฝนและแผ่นดินไหว ที่ทำให้มาชูยังมีสภาพแทบจะสมบูรณ์มาถึงทุกวันนี้เค้าสร้างโดยใช้แค่หินเรียงๆกันแต่มันไม่เคยพังเลย มหัศจรรย์มากๆ
ถ้าได้มีโอกาสมาจะรู้ว่าทำเลมาชูฯ นั้น อากาศดีมาก ไม่แปลกเลยถ้าทฤษฎีที่ว่าสร้างสำหรับการเกษตรจะเป็นเรื่องจริง
ความสวยงามของมาชูปิกชูสะกดนักท่องเที่ยวให้มาเยือนมากมาย และเพราะความคิด ฝีมือ ที่ทำให้เมืองแห่งนี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ก็คงไม่ใช่เรื่องเกินจริง เพราะการก่อสร้างมันล้ำมากยิ่งในยุคที่ไม่ได้มีเทคโนโลยีอะไรมากมาย ถ้าใครเคยไปโคลอสเซียมที่อิตาลีก็คงจะเข้าใจดีว่าทำไม ที่นั่นถึงได้เป็นสิ่ง
มหัศจรรย์ของโลกได้ พื้นฐานวิศวกรรมและการออกแบบที่ มันไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคนั้น สะท้อนให้เห็นว่าสมองมนุษย์ไม่ว่าจะยุคไหนๆ มันเป็นสิ่งที่น่าทึ่งเสมอ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in