ข้าพเจ้าขยับตัวชำเลืองภาพประกอบรูปแฟ้มคดีในมือใกล้เรื่อย ๆ เมื่อคำพูดอื้ออึงไม่เป็นศัพท์เป็นคำคลอเอ่ย เหตุเพราะอีกฝ่ายโน้มตัวเคี้ยวแครกเกอร์เยื้องตำแหน่งเหนือศีรษะข้าพเจ้า ทำนองเนิบช้าลำพัง เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นอารมณ์ชิงชังร่วมนาที ข้างใต้โสตประสาทส่วนตัว โดยเฉพาะแรงสั่นสะเทือนของจังหวะขบกัดและเคี้ยวมูมมาม ดูคล้ายจะรบกวนปนขยาดแขยง พอ ๆ กับเสียงหวีดหวิวลิ่วล้อของใบซิคามอร์บิดพลิ้ว ยามถูกมวลของเหลวมหาศาลโถมกรรโชกมองจากภายนอกอาคาร เรือนกระจกทรงสูงหนาฉาบกั้นความเป็นอยู่ของข้าพเจ้าให้จมปรักกับสถานทำงาน เฉกเดียวกับผืนดินที่มัดเนื้อลำต้นของมันดูดซับสารอาหาร แฝงลึกซึมฐานรากไปทั่วล่างหน้าดินขยายเสียจนโค่นไม่ล้ม ข้างใต้คอนกรีต จุดสูงสุดถูกดึงร่นเกือบชิดเคียงผืนดินอย่างเอาแต่ใจ มีเพียงลำต้นแข็งขืนสีน้ำตาลเข้ม ที่ยื้อยุดให้มันคงทนต่อไปโดยไม่สั่นสะท้าน หากแต่ชีวิตอุดมคติในคราวต้องลำเลียงสารอาหารอยู่ทุกชั่ววัน กำลังจะขาดใจเพราะสิ่งมีชีวิตอย่างเดียวกัน พายุฝนคะนอง ปรกติของฤดูฝน ห่าใหญ่ไม่ต่างกัน ธรรมชาติกำลังต่อสู้ ส่วนมนุษย์ก็ดำรงอยู่เพียงไม่กี่อย่าง จำเป็นแค่ต้องพกร่มติดตัวตามประกาศจากหัวข่าวกรมอุตุนิยมวิทยา และหาร้านประดับอุณหภูมิฮีตเตอร์สำหรับห่อหุ้มผิวหนัง คงเพราะอุณหภูมิเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วเท่าหนึ่ง สถาวะผกผันจึงรวนเรไปตามน้ำมือของฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงเช่นนั้น ไม่น่าแปลกใหม่อะไร และไม่น่าแตกตื่นด้วยซ้ำ ที่มันจะจงเกลียดจงชังเผ่าพันธุ์มนุษย์เพราะไม่รู้จักพอคงโกรธแค้นถึงขั้นอยากโค่นตัวถล่มทับยานยนต์พลเมืองให้พังทลาย จึงไม่ยอมลดทอนเรี่ยวลมกับรามือจากแรงต้านให้พอเหมาะพอดีเลยสักชั่วเดียว
เสียงสาดกระเซ็นของสายฝนฉุดรั้งกระแสลมกระทบเข้ากับประตูบานพับ เสียจนใจข้าพเจ้าเต้นระส่ำ ข้าพเจ้าใช้ปลายนิ้วคลึงนวดข้างขมับผ่อนช้าตามท่วงทำนองในหัวที่พยายามเพ่งพินิจให้ถึงถ้อยแถลงจากปลายสายคืนวาน ยามน้ำเสียงทุ้มลึกกำลังลากต้อนให้ข้าพเจ้าร่วมมือตนเพื่อจับผู้ร้ายคดีนี้โดยไว “คุณหมอได้เสียอะไรงั้นหรือ” ข้าพเจ้าโพล่งถาม เขาผ่อนเสียงครางพร้อมพ่นลมหายใจเฮือกหนัก สันนิษฐานว่าสีหน้าคงระรื่นอย่างปิดไม่มิด เมื่อน้ำเสียงเหินหกกะทันหันของข้าพเจ้าดูพิกล “มันเหมือนฆาตกรรมเลียนแบบ” เขาว่าเช่นนั้น แพทย์หนุ่มฉวยนิ้วในจินตนาการเหยียดชี้ ซึ่งหมายถึง ปลายนิ้วในทรงจำของเราที่เคยมองร่วมกัน ณ เวลานั้น ในสถานชุ่มประกายสีชาดของบ้านพักส่วนตัวพ่อค้าโรงเลื่อย รุกล้ำให้ข้าพเจ้าหวนกลับไปวางจุดสังเกตลงบนหลักฐานหนึ่งเดียวที่ยังทิ้งร่องรอยของจริง คราบชอล์กบนขื่อ ปราดครู่เดียว ทว่าข้าพเจ้ากลับเฉลียวใจเลือนรางและคาดไม่ถึงเช่นกันที่ นพ. อัชเชอร์ เองก็ใคร่จะจดจำส่วนสำคัญนั้นมาเจรจาเป็นลำดับถัดมา
“การเลื่อยเป็นงานที่ช้า ต้องใช้คนงานที่แข็งแรงและอดทนฝ่ายเลื่อยส่วนบนจะต้องแข็งแรงกว่า เพราะเลื่อยจะถูกดึงโดยคนงานทีละคน ต่างกับคนงานส่วนล่างที่มีแรงชำนาญจุดโน้มถ่วงกว่า ในทางเดียวกัน ผู้เลื่อยส่วนบนจะต้องระวังจุดนำเลื่อยเพื่อให้แผ่นไม้มีความหนาเท่า ๆ กัน คะเนส่วนใหญ่แล้ว...พวกเขามักทำตามรอยลากเส้นชอล์ก”
เขาเจือน้ำเสียงลง คล้ายผันตัวกระเดือกกลืนน้ำดื่ม ข้าพเจ้าเงี่ยหูฟัง บังเอิญถลำแม้ไม่ได้ใส่ใจพอจะเก็บมารำลึก
“ไม่ใช่รอยถลอกของเชือกหรอก เกรงว่า...เขาคงไม่ได้เสียเลือดเพราะแผลฉีกขาดพวกนั้นน่ะ มาหลังจากบาดแผลมีคมกลางสะบัก สองหนเทียว...เพราะผมเห็นปากแผลเท่ากันทั้งสองฝั่ง”
หลังทราบดังนั้น ข้าพเจ้าจึงตอบไปว่า จะเรียกสอบสวนคนขับซุงและช่างตะไบเลื่อย มาในวันรุ่งขึ้น เขาอาสาเกริ่นต่ออีกเล็กน้อย ความว่า จะเข้ามาพบเย็นนี้ แต่ดูท่าแล้ว เวลาลาดตระเวนของข้าพเจ้าคงบัญญัติระยะห่างให้เขาล่วงมาวันอื่นแทน หากสายฝนโถมช้าและเซื่องชาชืดกว่านี้ เราคงได้พบหน้ากัน
ข้าพเจ้าหยุดคำนึงเสียตรงนี้ ขณะเหลือบมองของเหลวสีอ่อนล่วงผ่านลำคอคู่หูคนใหม่ ผู้ซึ่งมีตำแหน่งเรียงนามจากหัวเมืองอื่น ซึ่งถ่อตรงมาจากหนึ่งในทีมสืบสวนสำหรับร่วมทำคดีอุกฉกรรจ์เฉพาะ ตะวันยังมิโผล่หัว ผืนครามครึ้มยังมิบรรจบไอแดด แสงนวลอ่อนทยอยแผ่ประกายสุกสว่างกลางริ้วพายุสาดกระหน่ำ ไม่ทันไร ข้าพเจ้าก็เหม็นขี้หน้าเขาเสียแล้ว
“สารวัตรฟลานเดอร์ส จุดนี้...พิเศษงั้นหรือ” คู่หูจำเป็นของข้าพเจ้าจรดหัวนิ้วชี้เปื้อนเศษขนม ลงบนแฟ้มเอกสารรูปบาดแผลกลางสะบักผู้เสียหาย มันคือรอยถากเคียงวงกลมดวงเล็ก เหนือแผ่นบันทึกของข้าพเจ้าเขียนกำกับไว้ เลือนอักษรบรรจงอวดเงาในคราบหยดหมึกซึมลึก ทิ้งรอยลากลายมือ ตวัดปลายท้ายของเส้นนำแรก จรดหางไล่ลำดับอย่างไม่สนจะเทียมบรรทัด พอแค่ให้เข้าใจเนื้อความเนือง ๆ
puncture/scapular/fx?
“แค่สงสัยน่ะ...ว่าแผลจากของมีคมอีท่าไหนถึงทะลวงกระดูก”
“สารวัตรเคยได้ยินหรือไม่...” เขาก้มตัว วางถ้วยกาแฟกรุ่นไออุ่นม้วนเกลียวเหนือโต๊ะข้าพเจ้า
รูปปากคล้ายกำลังแต่งท่วงทำนองบางอย่างในหัวลำพัง แล้วก็เป็นเช่นนั้น ดังที่ข้าพเจ้าพอจะเข้าใจ
“Nature's first green is gold, Her hardest hue to hold.Her early leaf's a flower; But only so an hour. Then leaf subsides to leaf, SoEden sank to grief, So dawn goes down to day Nothing gold can stay.”
เขาสูดหายใจเต็มปอด ผสมเติมเรี่ยวลมเดิมที่เหลือให้พอเหมาะพอควร สมกับโครงเรียงร้อยชั่วครู่อันควรระแวดระวัง เพราะอาจละอายพร่องหล่น แม้พยางค์คล้องประกอบถ้วนภายหลังสิ้นลมปรารภ จึงต้องหยุดกลืนพลังงานหวนคืนอย่างเชื่องช้า และเอ่ยขยายส่วนเว้าตื้นอย่างละมุนละม่อมพอ ๆ กับน้ำเสียงคราเปล่งแต้มให้ข้าพเจ้ารับฟัง แม้ข้าพเจ้าจะไม่เต็มใจเท่าใดนัก อิริยาบถไหวไหล่ผึ่งกว้างทำทีคลับคล้ายแค่กวีแสดงถึงความไม่ผันแปรกลอนหยาบ ๆ จากความทรงจำตนเองครั้นท่องผ่านตา Nothing Gold Can Stay ของ Robert Frost จากนั้น เขาจึงเริ่มอุบายต่อให้ข้าพเจ้าเล็งจับดวงกลมนิลเหนือไรผมตน เหมือนทั่วทั้งเมืองกำลังต้องสาป จากพื้นที่ส่วนตัวของการเปลี่ยนแปลงในหัวผู้ใฝ่ประสงค์ตนเป็นฝ่ายขบถ เมื่อโลกใบนี้ก้าวห่างจากพวกเขาหนึ่งระยะ พวกเขาก็จะทำอย่างไรได้ นอกเสียจากต้องดึงพลเมืองชั้นเทียมกันให้จมลงมาอยู่กับตน ให้ไร้รอยต่อ ให้ลงรูปลงรอย ไม่ต่างอะไรกับโลกที่พยายามจะฉุดรั้งความเป็นไปของนวัตกรรม โดยไม่แยแสจะถนอมใครไว้ข้างหลัง พวกนั้นอยู่ตรงกลาง ไอ้พวกเศษสวะนั่น เขาเปรยเนิบ จงใจเหน็บสอดวลีหยาบช้า กรองหยดคืบคลานอย่างเห็นได้ชัด เสมือนอยากอัดแน่นรอยแตกระแหงบนขอบคอนกรีตจากชนชั้นให้ข้าพเจ้าล่วงเจตนา
พลันการปรากฏตัวชุ่มโชกกลางสายฝนจาง ๆ พร้อม ๆ กับคันร่มในมือที่ละเลงหยดไอน้ำพรมปะบนพื้นหน้าประตู เรียกสติให้ข้าพเจ้าผุดลุกโดยเร็ว ล่วงหน้าไปต้อนรับแขกส่วนตัวอย่างปรีดา โดยไม่ปริปากเอ่ยระเบียบในข้อธุระให้คู่หูอยู่เจียมเนื้อเจียมตัวลำพังเสีย ข้าพเจ้าคิดว่าเขาคงล่วงรู้ได้เองว่า สายตาไม่นับมิตรของข้าพเจ้าที่สวนทางอย่างเห็นได้ชัดเมื่อ นพ. อัชเชอร์ โผล่มากะทันหันนั้น แจ่มแจ้งเพียงใด ยามตัวตนของข้าพเจ้าปรี่สะท้อนตอบม่านนัยน์ไร้แววอาวรณ์สีวอลนัทแสนสงบ แผกสิ้นเชิงเมื่อต้องร่วมบรรยากาศอึมครึมก่อนหน้า
เรือนผมหมาดกระเซิงโกรกรอยชื้นเปียกเสียครึ่งค่อนจากครั้งเคยเลิกแสกเหนือหัวคิ้วตามกิจวัตร บัดนี้ กลับไร้การเล็มแถวจัดระเบียบ กลุ่มก้อนพันกระส่ายหล่นชิดทั่วทั้งแถบเคียงแนบทรงนูนเข้ารูปกับระยะหว่างรอยเว้า ล่วงปรกขอบดวงเรียวรีเหลือบน้ำตาล กระทั่งเสี้ยวปลายแขนงเยือนรับจังหวะไหวเอน เกลื่อนตามแรงสลับทิศกลางอากาศชวนสั่นสะท้าน ก่อนความใคร่สงสัยจะค่อย ๆ แจ่มแจ้งเครือห้วงมัวซัว ผันเฉดน้ำตาลอ่อนออกจากริ้วประกายบลอนด์ทีละน้อย...ละน้อย... ผ่านสายตา ให้ข้าพเจ้าพลั้งพิจารณา
ข้าพเจ้าควรจะถามเขา ถึงเหตุสำคัญที่ต้องฝืนถ่อมาพบจวนดึกดื่น ทว่า เจตนาของข้าพเจ้ากลับลืมตัวอย่างเคยประพฤติ รีบคว้าคันร่มในมือเขามาหุบเก็บ เพื่ออิงชิดกับผนังโดยเร็ว แล้วล่วงนำไปยังห้องพัก ก่อนจะวกปลายเท้ากลับมาถามไถ่แก่ นพ. อัชเชอร์ อีกหนว่า อยากดื่มอะไรอุ่น ๆ หรือไม่ เสียดายที่ข้าพเจ้าคงจะให้ผ้าเช็ดตัวส่วนกลางแก่พลเมืองนอกไม่ได้ ประการแรก ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับการนั่งบนเก้าอี้แข็งขืนนัก ประการสอง ข้าพเจ้าไม่อยากสำคัญตัวล่วงเกินอย่างเต็มใจ เพื่อต้องประคองสายสัมพันธ์ของงานให้แล้วเสร็จอยู่ฝ่ายเดียวโดยไม่รู้สึกผิดได้ลง แม้คำหว่านล้อมทำนองนั้นจะค่อนข้างแก้ต่างอยู่ก็จริง เพราะตามจริงแล้ว ข้าพเจ้ากังวลถึงสิ่งอื่นมากกว่าเรื่องดังว่า หากเผลอปฏิบัติโดยไม่คิดหวังผลมันจะยิ่งแสร้งรู้ในสายตาของเขา ถือข้ามเรื่องไว้วางใจ เขายังเปรียบคล้ายสายตาคนนอกอยู่หลายโข มิหวั่นลงหรือ แววละเมียดสอดแนม ประปราย ราวจะคอยวิจารณ์ลักษณ์นอกของข้าพเจ้าต่อหน้าผู้อื่นอยู่เสมอ ๆ ในเรื่องคลุมเครืออันแท้จริง หากแต่ไม่เคยเท็จจริง ความว่าผู้ใดเป็นคนเช่นไร ของกลวิธีใต้กฎแห่งการกระทำตามสัญชาตญาณ
เดิมที ข้าพเจ้าไม่อยากจะไว้ใจ ผู้ที่ไม่เคยกระจ่างมูลเหตุของผลลัพธ์ออกจากปริศนาวงกต
แม้ข้าพเจ้ามิกล้าถาม เขาก็ควรบอกกล่าว เว้นเสียแต่ เขาจะคิดว่าข้าพเจ้าสู่รู้เกินไป เช่นนั้น ข้าพเจ้าคงผิดหวังในตัวเขาน่าดู
นพ. อัชเชอร์ รามือจากการสะบัดหยาดฝนออกจากเนื้อโค้ต น้ำเสียงทุ้มต่ำอย่างเคยยินเอ่ยถามค่อนเบา ชวนให้ข้าพเจ้ายอมย่อตัวลงนั่งข้าง ๆ “สารวัตรสะดวกไปที่ที่หนึ่งก่อน...อย่างนั้นไหม”
“คุณหมอไม่เสียเวลาทำงานวันพรุ่งหรือ” ข้าพเจ้าฉงนใจ เพราะเวลาขณะนี้จวนจะยามสาม
“ไม่ถึงเช้า” เขากล่าว กิริยาสงบเนิบคลายข้อย้ำไขปัญหาตามคาด เสมือนเล็งสิ่งแคลงใจนี้ล่วงลำพังก่อนเอ่ยถาม งดงาม ไม่ต่างจากครั้งแรกเริ่มที่ข้าพเจ้าถือวิสาสะทัศนา “ผมมีงานให้คุณช่วย”
นับว่ายังโชคดีที่สถานพยาบาลห่างจากสำนักงานเขตประจำเวรของข้าพเจ้าไม่มากนัก เกรงเพียงน้อย เว้นแต่ร่มคันเล็กเหนือเรือนกายนี้ ได้ตกทอดมาจากอุปกรณ์พอเหลือยืม ในห้องเก็บวัสดุใช้ฉุกเฉินรก ๆ ของสำนักงาน ซึ่งดูจะคับเคืองสำหรับลาดไหล่ของข้าพเจ้าหลายคืบห่าง เดิมที มร. เพียร์ซเวลล์ อัชเชอร์ เสนอให้ข้าพเจ้าสับเปลี่ยนกับคันสมบูรณ์เอี่ยมของตน แต่เพราะข้าพเจ้าตระหนักว่า อะไหล่กายของหมอ ที่เก็บตัวอยู่กับสถานทำงานใต้ไอแดดและหน้าที่ของวิชาชีพที่คอยขับไล่รอยกระคล้ำเข้ม ให้หลีกหนีไปจากผิวดุจน้ำนมอยู่เป็นนิจ คงสู้ทรพิษไม่เก่งกาจเกินข้าพเจ้า ที่ออกลาดตระเวนหลายหนต่อสัปดาห์นัก จึงปฏิเสธไปด้วยกิริยานอบน้อม และแทนที่เขาจะเลือกข้ามมันไปเฉกเช่นเคย เขากลับตำหนิเรื่องสำเนียงเอ่ยนามดูคล้ายเว้นฐานะหลายโขทำนองนั้น ให้ข้าพเจ้าลองเรียบเรียงใหม่ เป็นคำนำหน้าธรรมดา ๆ แบบพอควร ตามอย่างที่คนทั่วไปจะใช้ หลังสลัดคราบตัวตนทิ้งจากบทบาทการงาน ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงล่วงวลีเอ่ยถามข้อเท็จจริง เรื่องชื่อและนามสกุลทั้งหมดของเขา เมื่อบรรยากาศเย็นเยียบดำเนินผ่านไปบนบาทวิถีอันเอ่อล้น หยาดฝนโลมเลียเนื้อตัวจนชาด้านฝ่ามือปอนกรัง เขาก็กล้าพอจะวางคำนำหน้าจาก ‘สารวัตร’ เพื่อเปรยแทรกน้ำหนักหวิวเบา ความว่า ‘คุณ’ ผันแทนอย่างเท่าเทียม
“ส่วนที่บอกว่าเลียนแบบ...ผมหมายถึงเลียนแบบพระผู้เป็นเจ้า” เขาชี้ย้ำใต้ร่มผ้าผืนบางคลุมทับ จุดที่ถูกตอกและร้อยเอ็นผ่านโครงเหนือกล้ามหัวไหล่
ห้องเก็บร่างผู้เสียชีวิตชั่วคราวก่อนประกอบพิธี เป็นสถานที่ตรวจสอบการชี้เน้นจุดชันสูตรสำหรับข้าพเจ้าได้อย่างครบครัน มีอยู่บางคราว ที่ห้องควบคุมอุณหภูมิแห่งนี้จะถูกใช้เป็นแหล่งเรียนรู้ ก่อนอาจารย์ศัลแพทย์จะเข้ามาตรวจตราราว ๆ ย่ำรุ่ง เพราะนาน ๆ ที ระหว่างเดือนละครั้งไม่กี่หน จะต้องเปิดทิ้งไว้เผื่อแผ่กับนักศึกษาแพทย์ ให้เข้ามาศึกษาในส่วนที่ต้องการเก็บเกี่ยวตามสถานการณ์จริง เฉพาะบริเวณนอกเหนือตำรา ก่อนวันทดสอบของพวกเขาใกล้ดำเนินถึง ข้าพเจ้าจึงไม่แปลกใจอะไร ที่ยามวิกาลเช่นนี้ ไม่ว่าใครในละแวกเดียวกัน ก็สามารถชำเลืองพบอย่างทันการณ์ได้ว่า ห้องสลัวมืดจะถูกเปิดหลอดไฟขนานเรียงกันจนแสบจ้าดวงตา เสียก่อนเราทั้งสองจะเยื้องฝีเท้าเข้ามา ทว่า เหตุต่างอื่น ก็คงเป็นไปตามคำขอล่วงหน้าของ นพ. อัชเชอร์
ข้าพเจ้าแอบหวั่นใจเล็กน้อย เรื่องไม่สบเวลาแจ้งติดภารกิจสำคัญใดก่อนหน้า กระทั่งตกปากรับคำตามคาด แหล่งสะเทือนมวลคุกกรุ่นอันกระชั้นเหล่านั้นจากตัวข้าพเจ้า จึงกลายเป็นวลีโป้ปดกลาย ๆ แต่เพราะเช่นนั้น มันจึงทำให้ข้าพเจ้าได้ทราบข้อเท็จจริง ณ จุดนี้ ก่อประโยชน์ระคนแย้งสำนึก ให้ข้าพเจ้าน้อมนับถือน้ำใจเขาโดยแท้จริงว่า จรรยาบรรณตามการถูกบ่มเพาะนี้ช่างแน่นตรึงราวผ้าทอผืนหนาสวมคลุมเนื้อตัวของเขามิมีผิด
“วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์” ข้าพเจ้าพึมพำ ต่อมรับรู้ถูกฉุดกระชากออกมาดิ้นโกยอากาศหายใจภายนอก พลันประสบการณ์จากห้วงจำค่อย ๆ ผลักไสกลุ่มก้อนหนึ่งเดียวไปคนละทิศ เพียงเพื่อต้องการดึงทึ้งกันและกันเกินจะสยบเย็น
อีกนัยหนึ่งที่รู้จักกันดี คือ Good Friday ศุกร์สัปดาห์ก่อนวันอีสเตอร์ ซึ่งกล่าวตรงกันตามพระวรสารในสารบบ ระบุได้ว่าพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนในวันเตรียมวันสะบาโต ซึ่งตรงกับวันศุกร์ก่อนฟื้นคืนพระชนม์ในเช้าวันอาทิตย์หลังจากนั้น ข้าพเจ้าครุ่นคิด หลังพอตีความ
“หมายถึง...ให้เรารำลึกบาปตัวเองหรือไง ไอ้เลวนั่น!” น้ำเสียงหุนหันแล่นริ้ว ขณะขบสันกรามแน่น สิ้นซึ่งความกระดากอายตื้นเขิน พอ ๆ กับแววคั่งแค้น มลายมวลอันกัดกินน้ำหนักแห่งตราชั่งตนไว้ลำพังไม่พ้น
มร. อัชเชอร์ เอี้ยวหยิบถุงมือข้างใต้ลิ้นชักบรรจงขึ้นสวม ก่อนแกะผ้าปูคลุมทับเรือนกายบนโต๊ะชันสูตรสำหรับตรวจซ้ำวันถัดไปออก ข้าพเจ้าป้องแขนกำบังอุณหภูมิชื้นอับโชยแตะปลายจมูกตามสัญชาตญาณ เห็นเขาชะลอแรงถ่วงให้เอ็นคอเบี่ยงเล็กน้อยขณะค่อย ๆ พลิกร่างเหนือโต๊ะอะลูมิเนียมทรงเฉียง ยกขอบสูง ซึ่งติดบล็อกใต้หลังร่างผู้เสียหายเลิกเอียงยังจุดเปลือยเลื่อม อันทิ้งรอยไล่สีช้ำจ้ำใหญ่จากการตกเลือด ให้ข้าพเจ้าตรวจสายตาอ่านอย่างละเอียดถ้วนอีกคราว หลังระแวงเพ่งถึงคราบของเหลวรอบปากท่อชะล้างพักใหญ่ เรื่องที่เขาไม่ใส่ใจพอจะฉวยหน้ากากอนามัยเผื่อแผ่นั้น จึงเสริมความกระจ่างแก่ข้าพเจ้าเป็นปลิดทิ้ง
“สองจุดนี้ การแข็งตัวของเลือดต่างกัน” เขาละเมียดอธิบาย ขณะคลึงหัวนิ้วโป้งบริเวณรอบรอยบาดแห้งจนช่องโหว่น้อย ๆ เผยจุดบุ๋มจางบางเบาเหนือกระดูกสะบัก
“ส่วนปากแผลข้างนี้ สองหน ตามที่ผมบอกไป” กล่าวจบ จึงงอนิ้วข้างที่ยังไม่แตะต้องสภาพการณ์เบื้องหน้าเกี่ยวสอดขอบว่างเหนือข้อมือข้างถนัด เพื่อม้วนกลืนชิ้นส่วนอีกข้างทิ้ง โดยไม่ให้ส่วนใดของอวัยวะแปดเปื้อนอย่างชำนาญการ พร้อมถ่ายน้ำหนักปลายเท้าเหยียบแนบฝาถังติดป้าย ขยะติดเชื้อ ขึ้นอ้า ไว้รองรับขยะโสมมนอกข้อมือที่อาจปนเปื้อนสารคัดหลั่ง พริบตาเดียว เพียงกึ่งหนึ่งเท่าที่ข้าพเจ้าจะหยั่งทันอัตราเร็วเช่นนั้น
“เขาไปไหนไม่ไกลแน่ ดูจากลิ่มเลือดตกตะกอน คงเสียชีวิตราว ๆ 10-12 ชั่วโมง”
เนิ่นผ่าน 10-12 เทียว -- กาลใดแน่
ข้าพเจ้าตระหนักถึงเรือนผมแผกประกายบลอนด์ของเขา ซึ่งต่างอย่างสิ้นเชิงในวันที่ข้าพเจ้าได้รู้จักนพ. อัชเชอร์ เป็นครั้งแรก มวลยะเยือกของบรรยากาศวันวานทำข้าพเจ้านึกยลเครื่องนุ่งห่มราคาแพงของเขา แทนจะหมายตาเมียงมองเส้นผมเรืองสีอ่อนข้างกาย กระนั้น ข้าพเจ้ายังสามารถเพ่งรู้ถึงกลไกยามถวิลเหลือบดวงตาของเขาได้ขึ้นใจ ดั่ง ผืนทะเลสาบสะท้อนเมืองพิลาศในวันพายุฝนคะนอง ความรู้สึกราวยากจะหยั่ง ทว่า กลับชวนหายใจติดขัด เมื่อลืมตัวจ้องตอบโดยเผลอสวมกลืนความเคารพ ขบถราบ ในคราวที่ข้าพเจ้าใคร่อยากจะแคลงใจต่อ “ส่วนที่บอกว่าเลียนแบบ...ผมหมายถึงเลียนแบบพระผู้เป็นเจ้า” หากไล่ทวนลำดับไปจนถึง “เคยมีคนบอกคุณด้วยไหม...ว่าฆาตกรจะชอบกลับมาดูจุดเกิดเหตุ” นั้นต่างหากที่ทำให้ข้าพเจ้าฉงนพร่า คล้ายเวลาออกลาดตระเวนประจำวัน ในคืนหมอกหนา ยานพาหนะบุโรทั่งของข้าพเจ้าจะจอดรอ เพื่อฆ่าความเร่งรีบไร้แก่นสารออกจากหน้าที่ พลางเฝ้าดูสัตว์ป่าตัวใหญ่ไม่ทราบชนิด ล่วงกีบเท้าชุลมุนผ่านทางสัญจร เพียงเพราะกระจกต้องแสงสลัวเลือนหมอกคลุมปรกสนิท มันคงไม่แปลกอะไรที่พักหลังมานี้จะไม่มีใครพูดถึงเรื่องหมอกบันดาลเมืองแช่แข็ง ซ้ำเล่าจนไม่เหลือพื้นที่พอสำหรับให้หยดไอน้ำเกาะชวนน่ารำคาญ เพราะปรากฏการณ์ทางธรรมชาติแผ่ไสวล่วงวิกาลนั้นช่างประณีตสรรค์สร้าง ต้องตา พอ ๆ กับวิธีที่พวกเราทุกคนเชื่อมโยงกันและกัน ด้วยการรำลึกถึงพระคุณของพระเจ้า เมื่อเชิดปลายคางขึ้นสบใบหน้าเชยชมดวงทรงกลดเหนือศีรษะ
“คุณหมอว่า ศุกร์นั้น...จันทร์ทรงกรดหรือไม่”
หากเขาตอบข้าพเจ้าได้ ตรงกับใจ คงไร้ความหมายเรื่องฆาตกรรมเลียนแบบเสีย
ref: https://science.howstuffworks.com/autopsy4.htm
เชิงอรรถ
1. puncture บาดแผลถูกแทง
2. scapular กระดูกสะบัก
3. fx : fracture กระดูกหัก
4. Robert Frost : รอเบิร์ต ลี ฟรอสต์ เป็นกวีชาวอเมริกัน บทกวีของเขามักพรรณนาถึงชีวิตชนบทในนิวอิงแลนด์ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ด้วยสำนวนภาษาปากแบบอเมริกัน ฟรอสต์เป็นกวีคนเดียวที่ได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ 4 ครั้ง ในปี ค.ศ. 1960
5. Good Friday : วันศุกร์ประเสริฐ เป็นวันรำลึกถึงการตรึงกางเขนของพระเยซูคริสต์และเป็นหนึ่งในวันแห่งความเศร้าโศกที่สุดในปฏิทินของคริสเตียน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in