เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Both Between Same Pathwallflowerblu
Same
  •  

    10

     

    มิโดริรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงของใครสักคนเลือนราง ก่อนค่อย ๆ ทวีคูณความแจ่มชัด ทว่ายังคงวิ่งอยู่ในห้วงหลืบความทรงจำ วนราวคลื่นกระเพื่อมของน้ำขังในภาชนะ หากแต่อาศัยอยู่บนพื้นที่แออัดของโสตประสาททันทีที่ลืมตา ‘โชกุปัง แบบไม่ใส่มาการีน’ ใบหน้าเรียบเฉยของโช เริ่มประกอบเค้าโครงทีละน้อย คิ้วเข้มเรียงสวยได้รูปรับสัมผัสพอดีกับหางตาเรียวยาวและค่อนข้างเล็กของเจ้าตัวเสมองเธออยู่ ในเวลานั้น

     

    เขาบอกกับเธอแปลกต่างไปจากทุกวัน ก่อนเตรียมตัวออกจากอะพาร์ตเมนต์เร็วกว่าปรกติเมื่อเทียบกับบรรดาคนวัยเดียวกัน ไม่รู้ว่ามีอะไรเข้าสิง อยู่ ๆ ก็หลุดปากออกมาว่า ‘จะจริงจังกับชีวิตแล้ว’ ในตอนที่กำลังเล่นมวยปล้ำนิ้วกันอยู่ เพราะหาวิธีสุ่มผู้โชคดีหนึ่งคนมาล้างจาน หลังสั่งพิซซ่าและสปาเก็ตตี้ไซส์ใหญ่มากิน เนื่องในโอกาสไม่มีใครยอมตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตตอนแปดโมงเช้าวันอาทิตย์และปล่อยให้กระเพาะรอเก้อจนระบบน้ำย่อยเริ่มประท้วงถึงบ่ายสอง ฟังเผิน ๆ เธอเองก็นึกว่าเขาตีหน้าซื่อ พูดเล่นเป็นมุกตลกเพราะแพ้ซะอีก ไหงเช้าวันจันทร์ต่อมาก็มีรถจักรยานคันใหญ่ของ tokyobike สีครีม เบาะน้ำตาลวินเทจ บรรจุภัณฑ์ด้วยรถขนส่งสี่ล้อในห้องโดยสารขนาดสองคูณสอง มาส่งถึงหน้าอะพาร์ตเมนต์ไปได้ หรือแค่อยากเดินทางด้วยรถจักรยานไปมหาวิทยาลัยช่วงเช้าก็ไม่รู้ แต่มิโดริเข้าใจประโยคคำสั่งต้นทางของโชดิบดี เจ้าตัวคงไม่ได้พูดลอย ๆ ตามประสาเจ้าหนี้ (ที่เกิดขึ้นหลังจากเธอมาขออาศัยห้อง แลกกับการทำงานบ้านและออกค่าใช้จ่ายรายเดือนเล็ก ๆ น้อย ๆ) ถึงจะเสนอข้อต่อรองว่าขอเปลี่ยนจากการทำงานบ้านเป็นการเจียดค่าใช้จ่ายให้กับแม่บ้านประจำ แต่ไม่ทันได้พูดจบกลับโดนอีกฝ่ายบ่นเสียยืดยาว เหตุเพราะอ้างว่าไม่ชอบคนแปลกหน้า

     

    “เมื่อคืน ฉันฝันอะไรแปลก ๆ ด้วย ...พิลึก” โชเกริ่น เย็นนี้เขากลับถึงอะพาร์ตเมนต์เร็วกว่าปรกติ ดวงเรียวรีตรงกันข้ามจอโทรทัศน์หันมองใบหน้ารูมเมทที่เพิ่งจะถอดรองเท้าหน้าชั้นวาง

     

    มิโดริเหลือบนาฬิกาแขวนผนังจากครัวขนาดไม่กี่ตารางเมตร ซึ่งถูกคั่นแบ่งจากบริเวณนั่งเล่นด้วยโซฟาหันทิศตรงกันข้ามกับซิงค์และเตาอบตั้งโต๊ะ เผิน ๆ วันนี้เขามาถึงไวกว่าทุกวันที่เธอเพิ่งจะถ่อตัวออกไปซื้อสิ่งที่เจ้าตัวฝากฝังไว้เมื่อเช้าซะอีก ไหนจะท่าทางกล้ำเกลื่อนบริบทเมื่อกี้นี่อีก ทำหน้าอย่างกับมีวิญญาณตามติด ยังไม่ทันคาดเดาตามใจอยาก จู่ ๆ โชก็ขมวดเส้นคิ้วหนา จ้องมายังสิ่งที่อยู่ในมือ และเพราะไม่ใช่พลาสติกเกรดดีอะไรเลยสามารถมองได้ปรุโปร่ง

     

    “โชกุปัง? ฉันไม่ได้ฝากเธอซื้อเบียร์ไปหรอกเหรอ”

     

    มิโดริกลอกตานึก วางสัมภาระลงบนหน้าตักซึ่งถูกคร่อมทับด้วยหมอนอิงลายตาราง เขาขดตัวอยู่กับมุมประจำ ที่มักเบียดก้นชิดริมขอบมุมขวาทุกวัน “เมื่อวานนี้ไง นายบอกเองว่าฝากโชกุปัง ก็นึกว่าจะเลิกชอบเมล่อนปังแล้วซะอีก ส่วนเรื่องเบียร์ ฉันซื้อคืนมาแล้วสองกระป๋อง ติดที่กินไปคืนวันเสาร์ เราเจ๊ากัน โอเค๊” ว่าเปล่าพร้อมตบปลอกหมอนใบเล็ก

     

    “แล้ววันนี้จะไปดูดอกไม้ไฟมั้ย” เธอระรัวถาม ชักมือกลับพลันชี้นิ้วขึ้นยังฝ้าเพดานเป็นสัญญะ หวังว่าอีกฝ่ายจะยังไม่รู้ตัว พอมีสิทธิ์มัดมือชกเหมือนตอนรับยูกิมาดูแลชั่วคราวบ้าง

     

    “ฉันต้อง... เดี๋ยวนะ ลุงฟุมิยะยังอยู่ใช่มั้ย” เขาละล่ำละลักด้วยท่าทางตื่นตูมประหลาด ๆ

     

    มิโดริแทรกตัวลงนั่งข้างเพื่อนสนิท ฝ่ามือเย็นชืดจรดทาบเหนือหน้าผากคนตรงหน้า แต่ก็ถูกปัดไล่เพราะยังไม่ได้ล้างมือ พอจะเข้าใจอยู่ว่าโชเป็นคนรักสะอาด แต่ดาดฟ้าที่มีไว้สำหรับกักขังแหล่งสะสมเชื้อทางเดินอาหารของนกพิราบแบบนั้น เขาก็ไม่วายจะเสนอตัวไปปูเสื่อนั่งชมประกายไฟรายสัปดาห์กับเพื่อนร่วมห้องเช่าของเทศกาลอย่างคราวนี้เหมือนทุก ๆ ปี

     

    พิลึกคน... เธอปรารภเดียวดาย และมันก็คงแจ่มชัดผ่านการชักสีหน้า ไม่งั้นคงไม่ถูกหมอนอิงบนหน้าตักอีกคนซัดเข้าอกเต็มเปา

     

    “ยะ...อย่าบอกนะว่าย้ายออกไปแล้ว”

     

    “เพ้อเจ้อ...เขาแค่ไปเฝ้ามัตสึโอะซัง เห็นว่าบ้านหมุนเลยต้องนอนดูอาการไปก่อน ไม่รู้จะกลับวันไหน อ้อ...นี่แหละที่เขาฝากฉันมาบอก เราเจอกันก่อนที่นายจะกลับ”

     

    เพ้อเจ้อเหรอ เธอทิ้งทวนคำก่อนหน้า ไม่แน่ใจว่าเผลอใช้พูดคำติดปากของอีกฝ่ายไปโดยไม่รู้ตัวเมื่อไหร่

     

    โชพึมพำต่อจนน่าแปลกใจ มิโดริคิดว่าเขาคงไม่ได้สื่อถึงคุณลุงที่ต้องไปเยี่ยมภรรยาหรอกมั้ง เธอสับสนระคนหวั่นใจ อีกอย่าง หน้าที่สามีของฟุมิยะซังก็ต้องรวมเรื่องนอนเฝ้าคุณป้ามัตซึโอกะ เอนโด อยู่ที่โรงพยาบาลอยู่แล้ว เพราะแบบนั้น เขาถึงได้ฝากวานเธอมาบอกโชด้วยว่าสัปดาห์นี้คงเป็นเพื่อนดูดอกไม้ไฟไม่ได้ เป็นเรื่องดีซะอีก ที่ครั้งนี้เธอจะจบภารกิจได้ด้วยการชวนเพื่อนทั้งสามคนไปสานสัมพันธ์กันใหม่ เว้นก็แต่ มิซึกิจะบอกว่าต้องปลีกตัวไปร้านพี่สาวเสียก่อน โชคดีที่แยกกันคราวก่อนเธอขอไลน์เขาเอาไว้ทัน

     

    “เธอไปกับยูเมะเถอะ ฉัน...ฉันว่าตัวเองแปลก ๆ”

     

    “ไม่ นายปกติ ตัวไม่ร้อนไม่หนาว หรือว่า...นัดมิซึกิไว้ล่ะ หืม?” เธอแตะเสียงโทนต่ำครุมเครือเป็นเชิงหยอกล้อ แต่แล้ววลีเดิม ๆ จากปากโชก็หลอนหูอยู่ไม่เลิกด้วยใบหน้าจริงจัง

     

    “ฉันไม่มีคอนแทคหมอนั่น...”

     

    “เราเจอกันแค่ตอนเบนโตะพักเที่ยง / เราเจอกันแค่ตอนเบนโตะ” น้ำเสียงของทั้งสองผสานเป็นจังหวะเดียวกัน โชดูตระหนกเกินจริงจนตาเล็ก ๆ เบิกกว้างปนหวาดระแวงชวนขบขัน “เธอรู้ว่าฉันจะพูดด้วยเหรอ”

     

    “วันก่อนนายพูดแล้ว ใช่...พูดออกมาแบบนี้เป๊ะ ฉันแค่เลียนแบบเพราะรู้ทัน” เธอชะงักกลางคัน ก่อนหันไปชี้สีหน้างุนงงไม่เลิก “หรือวันนี้มาไม้นี้ หลอกว่าตัวเองป่วยสับสนจะได้ไม่ต้องไปด้วยกัน คิดว่าฉันติ๊งต๊องอีกรึไง เรื่องที่บ้านเป็นคนทรงก็ทดไว้แล้วนะ” เธอเก็บนิ้วคาดโทษออกห่าง แต่แล้วก็ถูกโชกำรวบไว้ก่อน

     

    แล้วยังไงต่อ

     

    โชเค้นเศษหวิ่นแหว่งข้างใน

     

    เพียงแต่ คงเหลือใบหน้าของแม่ที่บอกว่าอย่าหลงลืมความเป็นตัวตน อย่าทอดทิ้งความเป็นเรา และอย่าไปจดจำการกระทำป่าเถื่อนของพ่อหรือแม่มาถือสา อย่าผินตาหนีเพื่อรำลึกใบหน้าของแม่ในอดีต กลับกลายเป็นว่า ดวงตาวาวใสสีน้ำตาลอ่อนคู่นี้กลับกระตุ้นให้เขาหวนนึกถึงคำพูดมากมายของแม่ เธอมีริมฝีปากบางเล็กเหมือนกับแม่ไม่มีผิด ริมฝีปากแบบเดียวกัน...อยู่กับแม่นะ

     

    มันคือคำบอกเล่าประเภทหนึ่ง เฉพาะตัว ราวกับลอกเลียนมาเพื่อให้เขาฟัง

     

    “ทำไม ตกลงจะไปหรือเปล่า” มิโดริย้ำซ้ำสอง

     

    ก่อนจะให้คำตอบใครออกไป โชรู้อยู่แก่ใจ สำหรับเขา มันคือการปฏิเสธที่จะอยู่กับใครสักคน

     

    เธอเป็นคนแรกที่เขาแน่วแน่แล้วว่าควรตัดสินใจแบบไหน

     

    ไม่พ้น...แบบที่เราทั้งคู่จะไม่เสียใจ

     

    หากต้องเลือกสิ่งนั้น

     

    เลือกได้ด้วยเหรอ...

     

    ไม่ได้ เธอสั่นศีรษะ ราวจะตอบสนองให้เขาเชื่อใจ หรือไม่ ก็ตามแต่เขาจะวางใจให้เธอพินอบพิเทาอารมณ์ด้านลบของตัวเอง วิธีที่เธอแสดงออกก็ปราดเปรื่องจนเขาไม่รู้ว่าควรจะเอาคำตอบไปจดจ่ออยู่กับใครระหว่างเรา สิ่งบ่มเพาะในการตัดสินใจของเราคือประสบการณ์และทรงจำ มีทางเลือกมากมายที่เราคิดว่าตัวเองตัดสินใจเองแล้ว แต่จริง ๆ มันไม่ใช่อย่างนั้น มันมาจากการบ่มอารมณ์ลึก ๆ ของตัวประกอบจากบทบาทที่ผู้คนหลากหลายด้านในนี้เวียนผ่านมาทำความรู้จักเรา... เราต่างก็กอบเอาสำนึกของคนในครอบครัว ญาติมิตร เพื่อนพ้อง และทำ กระทำเหมือนอย่างใครสักคนจะบอกว่าพึงพอใจมัน แผ่นอกไหวระเรื่อเมื่อผิวเนื้อแนบเนื้อ ในนี้ต่างหากที่ล่อหลอกว่าเราจะเป็นคนแบบไหนก็ได้ เราต้องคอยเลือกอะไรและไม่เลือกอะไรอยู่ตลอดเวลา เท่าที่ประสบการณ์และทรงจำจากประสาทสัมผัสต้องการจะบอกกับเราว่าพวกมันปรารถนาจะรับรสชาติแบบไหน จะบอกว่าทางเลือกใดเป็นเรา เราแก้มัดด้ายที่ผูกด้วยตัวเองไม่ได้หรอก ถ้าไม่ตัดมันทิ้ง ยิ่งแก้จะยิ่งพัน ยิ่งผูกจะยิ่งยาว ยิ่งตัดจะยิ่งตรึง ไม่ว่าทางไหน ข้อพันธนาการนี้ก็ไม่มีอะไรมารับประกันได้เลยว่าจะเป็นผลลัพธ์ที่ดีหรือไม่



    /



    แม้ย่ำค่ำหนนี้ แสงเรืองรองจะวาดเงาเราสามคน (เธอ เขา ยูเมะ) และสลายตัวเป็นริ้วลากหลากสีบนผืนฟ้าไกลสูงสุดขอบน่านน้ำ สุดขอบแผ่นผืน สุดขอบฟากฝั่ง สว่างพราวซ้ำแล้ว เลือนดับซ้ำเล่า ไม่ต่างไปจากปีที่แล้ว เขาก็ดีใจที่ได้ออกไปแออัดกับผู้คนดูบ้าง เหมือนอย่างที่เธอมักเปิดหน้าต่างฟังเสียงเปาะแปะเป็นประจำ เมื่อเกลียดสนามหญ้าแต่ยังชอบกลิ่นพรำเฉอะแฉะบนหน้าดิน

     

    พรุ่งนี้ จะมาอีกมั้ย เธอลอบถาม เห็นใบหน้าของโชแหงนมองระดาสีสันไม่วางตา

     

    ไอระเหยชื้น ๆ ของหยาดใสกระโจนลิ่วสู่ภาชนะผู้คน กลบละอองบางเบาของฝุ่นคลุ้งตลบจากบรรดาชนแปลกหน้า รวมถึงเด็กเล็ก ๆ จำนวนมากกุลีกุจอวิ่งหลบเข้าร่มคลาคล่ำสายตา

     

    ขณะก้อนขยุกขยิกอันแบ่งแยก

     

    ค่อย ๆ หลอมชิ้นจำแนกหลากวัตถุ ผสมความคุ้นเคยให้เป็นบ้าน เป็นเพื่อน เป็นคนรัก เป็นสัตว์เลี้ยง เป็นอาลัย เป็นห้วงฝัน เป็นศรัทธา เป็นความนอบน้อม เป็นวังวน ไล่เลี่ยกันทีละน้อย เป็นเหมือนใบหน้าของใครหลาย ๆ คนในชีวิตที่เขารู้จัก แม้เราจะไม่รู้จักกันมาก่อน

     

    ความสดใหม่ เขารู้สึกอย่างนั้น

     

    แน่นอน

     

    ผมเลือกจะปฏิเสธคำตอบที่จริงใจที่สุดออกไป ขณะสะบัดหยาดรวงมวลเล็กหล่นจากเส้นผม

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in