เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[Colin Firth x Hugh Grant] Bilnd and Doctorprim_p_n_pen
As if,and I'm your Daniel Cleaver then
  • Titie: As if,and I'm your Daniel Cleaver then

    Pairing: Colin Firth x Hugh Grant

    Rate: ???

    Note: ตอนจบล่ะ แต่เราจะรีใหม่ ตอนช่วงวาเลนไทน์นะค--

    3 เดือนมา..

        จากวันนั้นมา คอลินและฮิวจ์ก็กลายเป็นเพื่อนกัน(หรือมากกว่านั้น?) และด้วยความที่คอลินเป็นหมอกะดึก ทำให้เขามีเวลามากพอในช่วงกลางวัน ที่จะแอบพาชายตาบอดคนนี้ออกไปเที่ยว(ในชุดธรรมดา ที่ค่อนข้างหลวมของคอลิน) นี่คงเป็นอีกวันที่เขาแอบพาฮิวจ์ออกมาเที่ยวเล่น

        ชายซึ่งปกติสวมเสื้อกาวน์ขณะนี้เขากำลังสวมเสื้อเชิ้ตปกติ นั่นทำให้เขาดูดีขึ้นไม่น้อย คอลินนั่งอยู่ที่เก้าอี้ร้านกาแฟ ซึ่งตรงข้ามกันคือชายตาบอดในชุดเสื้อยืด กางเกงขาสั้นที่หลวมเกินความจำเป็น ทั้งสองนั่งทานของหวานและดื่มเครื่องดื่มกันอย่างสบายใจเหมือนทุกที

        "หิวรึยัง?" คอลินถาม

        ชายตาบอดสะดุ้งเล็กน้อย ก่อนเงยหน้าขึ้นจากการเล่นแก้วน้ำส้มเป็นเด็กที่เหลือน้ำส้มอยู่ที่ก้นแก้ว กับน้ำแข็งอีกจำนวนหนึ่ง "ผมแค่หิวน้ำอ่ะหมอ แต่ถ้ากินก็กินได้"

        "กินน้ำส้มไปสามแก้วยังไม่พออีกรึไง เดี๋ยวคงต้องเอายาจีนไปต้มให้กินดับกระหายซะล่ะมั้ง" คุณหมอหน้านิ่งบ่น พลางใช้นิ้วชี้ ชี้ไปที่แก้วน้ำส้มอีกสองแก้วซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ กับข้อศอกของฮิวจ์

        "เหว๋อออ!! ไม่เอาๆ!! ขมจะตาย อย่าให้ผมกินนะหมอ!!" อีกฝ่ายร้องลั่น เมื่อสามถึงสี่วันก่อนเขาเกิดอยากลองของ จึงขอให้คอลินซื้อยาจีนบำรุงกำลังมาให้เจ้าตัวกิน ผลออกมาก็คือเขาอ้วกออกมาน้ำไหลไฟดับจนทำให้หมออย่างคอลินอยากจะจับเขาล้างคอให้มันจบๆ ไปแต่ว่าทำไม่ได้ เพราะอิตาฮิวจ์คนนี้สนิทกับพยาบาลเหลือเกิน มีหวังเขาโดนเพื่อนร่วมงานสวดแน่นอน

        "งั้นเราจะไปกินที่ไหนล่ะ อยากไปร้านที่เปิดเพลงหรืออะไรทำนองนั้นมั้ย?"

        "ก็ได้ ผมขอไวน์แดงซักแก้วนะหมอ" ชายนัยน์ตาฟ้าน้ำทะเลกล่าวพลางยิ้มเล็กน้อย

        เมื่อได้ยินดังนั้น อีกฝ่ายจึงยื่นมือไปจับที่ไหล่ของฮิวจ์ ก่อนจะพูดขึ้นว่า "เสียใจนะ แต่นายห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์"

         "หมอออออ" ฮิวจ์โห่ร้อง "ผมเปล่าเป็นความดัน เป็นโรคหัวใจซักหน่อย!"

         คอลินหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกออกจากเก้าอี้เรียกพนักงานมาคิดเงิน แล้งจึงเดินไปหาชายตาบอด พยุงให้เขาลุกขึ้นโดยไม่ให้ล้ม "ล้อเล่น จะกินก็กิน อย่าเมาก็พอขี้เกียจลากนายกลับ"
    .
    .
    .
        "ผมเอาสเต็กเนื้อ มีเดียมแรร์" คอลินสั่งอาหารกับพนักงานหญิงคนหนึ่ง ในขณะที่ฮิวจ์นั้นนั่งรออีกฝ่ายสั่งอาหารให้อีกทอดนึง

        "ค่ะ แล้วอีกคนล่ะคะ?"

        "เขาเอาสปาเก็ตตี้โบโลน่า  อ้อใช่ เอาไวน์แดงที่แพงที่สุดมา 2 แก้ว"

        "ค่ะ" เมื่อรับออร์เดอร์เสร็จพนักงานจึงเดินออกไป

        "ไวน์แดง ที่แพงที่สุด" ฮิวจ์ทวนคำ "หมอ ผมจำได้ว่าร้านนี้มันแพงทุกอย่างเลยไม่ใช่เหรอ แพงที่สุดที่มันหลายอยู่นา.." แม้ฮิวจ์จะเป็นชายตาบอดที่ไม่ได้ออกจากโรงพยาบาลมาหลายปี แต่เพราะเขาสนิทกับพยาบาลจึงทำให้เขาพอรู้บ้างว่าอะไรเป็นอะไร แน่นอนว่าร้านนี้ก็เช่นกัน ร้านนี้เป็นร้านอาหารสไตล์อิตาเลียนในเมืองแห่งนี้ ซึ่งดังมากพอตัวจึงทำให้อาหารราคาแพงและมีคนแน่นร้านอยู่เสมอๆ

        "ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ยังไงฉันก็ใช่ว่าจะไม่มีเงินกงเงินเก็บซักหน่อย" ไม่ทันขาดคำพนักงานเสิร์ฟหญิงคนเดิม ก็เดินถือแก้วสองใบและขวดไวน์ขนาดกลางมาด้วย ก่อนจะจัดแจงรินไวน์ลงไปอย่างประนีต

        "งั้นแปลว่าผมก็ไม่ควรไปส่อเรื่องที่หมอทำอะไรกับคอผมใช่มั้ย? ถึงผมไม่รู้วาามันใหญ่ขนาดไหนจะมันแสบนะหมอ" พูดถึงอย่างนั้น ฮิวจ์ก็ใช้มือข้างขวาของเขาคลำๆ ที่บริเวณต้นคอของตน
    .
    .
    .
        * ติ๊ง *
        เสียงจากข้อความ SMS ในมือถือของคอลินดังขึ้น ขณะที่เขากับฮิวจ์กำลังจิบไวน์อยู่ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นก่อนเปิดมันเพื่ออ่าน
    [ถึง หมอคอลิน
              วันนี้ฉันขอแลกเวรกับนายนะ ขอร้องล่ะ ครอบครัวสามีฉันมาที่นี่กระทันหัน ถ้าไม่นั่งเวรซ้อนวันนี้ พรุ่งนี้ฉันจะไปรับพวกเขาไม่ทัน ขอร้องล่ะ นะได้โปรด
                                                หมอนิโคล]
    เมื่ออ่านข้อความตรงหน้าคอลินตอบตกลงอย่างไม่ลังเล อย่างน้อยเขาก็มีเวลาจะลากฮิวจ์กลับได้ โดยไม่ห่วงเวลาเวรดึกแล้ว

        "ฮ่าๆ.. หมอคร้าบบ หมอรู้ป่าวว ว่าผมโดนเอามาปล่อยที่โรงพยาบาลนี่นั้งแต่เรียนโจบบบ ฮ่าาาาา" ชายนัยน์ตาน้ำทะเลหน้าแดงจากฤทธิ์สุรา เขาทั้งพูดมากและคุมตัวเองไม่ได้ "อีกไม่กี่วันก็โคร้บ 15 ปีล้าวววว ฮี่ววววว"

        "นี่ นายชักจะเมาใหญ่แล้วนะ ฉันบอกว่าห้ามเมาไม่ใช่เหรอ"

        "อารายหมออ ผมป่าวมาวววว" ฮิวจ์ทุบอกตัวเอง ก่อนจะปีนโต๊ะไปยืนอย่างทุลักทุเลตะโกนเสัยงดังไปทั่ว

        "พอเลยๆ ลงมานี่ฮิวจ์!" คอลินรีบเขียนเช็คเงิน แล้วจึงเดินไปลากคนที่กำลังโหวกเหวกโวยวายอยู่บนโต๊ะลงมา ก่อนที่เขาจะหอบฮิวจ์กลับด้วยการพาดบ่า
    .
    .
    .
        "อือ.." ฮิวจ์ขยี้ตาบนเตียงนุ่มสีครีม "หมอเหรอ.. กี่โมงแล้วอ่ะ.." เขาหันซ้ายขวาไปรอบๆ (ทั้งที่ตนมองอะไรไม่เห็น) ก่อนใช้มือคลำบริเวณใกล้เคียงนั่นทำให้เขารู้ ว่านี่ไม่ใช่ห้องเขา

        "สามทุ่มสิบเอ็ด" เขาตอบ "นายเมาแล้วตะโกนโวยวาย ฉันเลยหอบนายมาบ้านก่อน"

        "แล้วพวกพี่พยาบาลไม่ว่าเหรอ"

        "ฉันส่งข้อความไปแจ้งแล้ว ยังไงพวกนั้นก็เพื่อนฉัน" ตลอดช่วงคืนนั้น ทั้งสองจึงได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข

    END?









    6 เดือนต่อมา

    [ถึง ครอบครัวแกรนท์
              ผมนายแพทย์คอลิน เฟิร์ธ เป็นแพทย์ประจำตัวฮิวจ์ แกรนท์ลูกชายคุณ ซึ่งมีอาการพิกลพิการในร่างกายส่วนหนึ่งคือตานั่นเอง ผมทราบดีที่พวกคุณไม่แยแสลูกชายของคุณ เสียเท่าที่พ่อแม่ของเด็กชายอายุ 6 ปีทั่วไปควรให้กับลูกชายของพวกเขาเอง แม้ว่าปัจจุบันเขาจะอายุพอสมควรแล้ว
              ผมจึงมีบางสิ่งมาเสนอกับทุกคน นี่เป็นโครงการใหม่ ของจักษุแพทย์ที่ต่างประเทศ มันอาจจะช่วยให้ลูกชายของคุณกลับมามองเห็นได้ ผมยินดีจะจ่ายค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ เพียงแต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องพาเขากลับไปอยู่ที่ๆ เขาสมควรจะอยู่ นั่นคือบ้านของเขาเอง
              ถ้าคุณตอบตกลง กรุณาส่งอีเมล์มาให้ผมภายในสัปดาห์นี้
                                            ด้วยความเคารพ
                                        นายแพทย์คอลิน เฟิร์ธ]
    คอลินแตะแป้นพิมพ์ไปมาอย่างล้าๆ ก่อนกดส่งอีเมล์เจ้าปัญหาที่กินเวลาเขาถึงสามวันเพื่อเรียบเรียงมันออกมาได้ เขาไม่ค่อยได้เขียนจดหมายถึงใครเสียเท่าไหร่ อย่างมากก็แค่ส่งไปหาพ่อแม่ช่วงเทศกาล ซึ่งใช้ภาษาพูดไม่ได้ทางการอะไรมากมาย แต่อีเมล์เจ้ากรรมจำเป็นที่จะต้องใช้ภาษาทางการ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับตัวเขา และผลประโยชน์ของฮิวจ์ - ฮิวจ์เคยเล่สให้เขาฟังว่าพ่อแม่ของเขาเองเป็นพวกหัวสูง รักษาหน้าตาตระกูลกันเป็นว่าเล่น เอะะเอะอะก็มารยาทๆ จนเขาเองก็เบื่อจนแทยจะหนีออกจากบ้านเหมือนกัน (ตอนเขาอายุ 5 ขวบเขาว่า)

        สองวันต่อมา พ่อแม่ของฮิวจ์ส่งอีเมล์ตอบกลับ พวกเขายอมรับข้อเสนอ แต่ฮิวจ์เองยังไม่รับรู้เรื่องนี้กระทั่งมีคนมาลากเขาขึ้นรถ ตอนนั้นเองเป็นตอนที่คอลินกำลังตรวจคนไข้อยู่

        สามวันหลังจากนั้น อีเมล์ถูกส่งมาอีกครั้ง คราวนี้มันเป็นอีเมล์เกี่ยวกับค่าใช้จ่ายเรื่องนี้ ทว่า..

        ไม่มีใครได้ยินเรื่องของชายตาบอดฮิวจ์ แกรนท์ อีกเลย


    9 ปีต่อมา..

        ท่ามกลางฝูงชนในบ่ายที่มีลมเย็นพัดไปมา คอลินสาวเท้าของเขาพร้อมกับแก้วกาแฟร้อนและกระเป๋าหนังคู่ใจ ไปพักผ่อนหลังจากที่อยู่เวรในโรงพยาบาลตลอด 3 วัน ในย่านน็อตติ้งฮิลล์ ซึ่งไม่ไกลนักจากตัวเมือง

        คอลินเดินไปเรื่อยๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศรอบๆ อย่างช้าๆ ตลอดเวลา 9 ปียังคงไม่มีใครรู้เกี่ยวกับเพื่อน(?) ตาบอดของเขา หลายคนเชื่อว่าบางทีเขาอาจตายแล้ว หรืออาจจะย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ได้ ใครจะรู้?

        ถ้าเป็นอย่างที่สองก็ดี เขามักจะคิดอย่างนั้นปัจจุบันคอลินเป็นคนดังของโรงพยาบาล เพราะเขาได้ช่วยชีวิตของคนตาบอดมากมายให้กลับมามองเห็นได้ แม้ว่าจะมีโรงพยาบาลหลาวแห่งเรียกตัวเขาไปทำงานด้วย แถมยังได้ลงหนังสือพิมพ์สองถึงสามครั้งด้วย แต่เขายังคงยืนกรานว่านะอยู่ที่นี่ต่อ

        "คุณลูกค้าครับ! ซื้อดอกไม้ซักช่อมั้ยครับ!?" เสียงคุ้นหูตะโกนเรียก คอลินหันไปมอง นัยน์ตาสีน้ำตาลของเขาเบิกโพลง

        "ฮิวจ์..? นายเหรอ..?" เขาเอ่ยด้วยความตะลึง

        "ผมฮิวจ์ ฮิวจ์ แกรนท์เอง" อีกฝ่ายตอบอย่างยิ้มแย้ม "ดีครับ หมอ"

                     "แดเนียล คลีเวอร์ของหมอกลับมาแล้วนะ"

    THE END

135 Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
อ่านมาถึงกลางเรื่อง..นึกว่าจบแล้ว พอเลื่อนๆดูอ่าวมีต่อ เลื่อนๆดูอีกมีต่อ พอถึงบรรทัดสุดท้ายอ่าวจบแล้วเหรอ5555555555555555 เนื้อเรื่องมีพล็อตนะคะแต่เราว่าน่าจะมีสตอรี่มากกว่านี๊สนึงเนอะ เราว่ามันรวบรัดตัดจบเร็วไปหน่อย แต่ทำออกมาดีแย้วสำหรับคนที่เพิ่งเขียน (หรือเปล่า?) เป็นกำลังใจให้นะคะะ
prim_p_n_pen (@prim_p_n_pen)
@suzugos_ ขอบคุณสำหรับคำติชมนะคะ เราเพิ่งเขียนเป็นแบบจริงจัง(ที่บรรยาย มีเนื้อเรื่องยาวๆ ไม่ใช่แก็ก) เป็นเรื่องแรกเลยล่ะค่ะ ^^