เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ลองอ่านหนังสือกาลครั้งหนึ่ง ณ ช่วงเวลาของเรา
(รีวิว) เมื่อความตายทำให้เราพบกัน , Rtima1123 เขียน
  • เมื่อความตายทำให้เราพบกัน   Rtima1123 เขียน                                                                                                                                                     ภาพปกโดย  Rinnaro ราคา 220 บาท
    " พ่อบอกว่าเดี๋ยวสงครามก็จบ
    แล้วพ่อจะกลับมา แต่พ่อหายไป​ "

    " มันนานเกินไปจนคาลวินรู้สึกว่าบางทีนั้น
    พ่ออาจจะใช้คำผิด "

    ด้วยคำพูดที่เอ่ยถามผู้เป็นแม่
    ว่า " ทำไมเราต้องรักชาติเหรอฮะ "

    สิ่งที่ได้เป็นคำตอบนั้นก็คือ " เพราะมัน
    เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เขาจะเป็นเด็กดีถ้าเขารักชาติ "


    บางทีก็รู้สึกอย่างกับว่าถูกตั้งโปรแกรมจากสังคม
    ภายนอกที่ล่อหลอมขึ้น  ราวกับว่าเรานั้นเป็นเพียง
    แค่หุ่นยนต์​ที่กำลังสร้างขึ้น
    และตั้งโปรแกรมเริ่มต้นให้เชื่อฟังสิ่งที่กำลังใส่เข้าไป  
    ปลูกฝังให้ ' รักชาติ ' 

    ดังนั้นก็จำเป็นที่จะต้องทำประโยชน์ให้แก่แผ่นดิน 
    เพื่อประโยชน์ของ​ชาติ   ซึ่งมาก่อนประโยชน์​ของตน 
    ในการทำศึกสงคราม  จึงจำเป็นต้องมีกลุ่มคน
    ในการรักษาแผ่นดินที่แลกไปด้วยความสูญเสียของทุกฝ่าย 
    แม้อาจจะได้รับชัยกลับมาก็ตาม นั่นก็เพื่อชาติ 
    เพื่อผดุงไว้ให้ผู้คนเบื้องหลังยังคงอยู่
    คุณบอกว่าสังคมเราได้ผลประโยชน์​ 
    แล้วชนกลุ่มหนึ่งที่ ' ส่งครอบครัวตัวเองไปตายล่ะ ' 
    ก็เพื่อการณ์นั้นไม่ใช่หรือที่สร้างความสูญเสีย
    ส่งร่างไร้วิญญาณ​กลับสู่บ้านที่ไม่เหมือนเก่า  
    ฉันว่ามันไม่ได้เกินจริงที่จะพูดประโยคนี้ขึ้น  
    การมีชีวิตรอดในสงคราม นั่นก็คือการเอาตัวรอด  
    ไม่ว่าหนทางใดหนทางหนึ่ง  

    ทั้งที่เขาเองก็คงจะรู้ว่ามีโอกาสที่
    จะต้องกลับมาอย่างผู้วายชนม์ 
    มากกว่าจะเป็นผู้รอดชีวิต  สงครามก็
    เป็นประโยชน์​ต่อผู้มีอำนาจนั่นแหละฝ่ายใด
    ได้กุมชัย ก็เป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ

        มกราคม 1915 คือเดือนได้ที่เจมีไม่ได้ส่งจดหมาย
    มาให้ยายเอมิเลีย  

    หนึ่งเดือนต่อมาก็มีนายทหารเดินมายัง
    บ้านคาร์เตอร์ คาลวินมองผ่านหน้าต่างบ้าน        
    ของตัวเองออกไป เขาไม่รู้ว่าพวกนั้นพูดอะไร  
    ผิดกับยายเอมิเลียที่ตะโกนดังลั่น 
    จนเสียงแหลมสูงสามารถลอดผ่านกระจก
    บ้านมิลเลอร์เข้ามาได้  คาลวินจำน้ำเสียง
    ของยายเอมิเลียในวันนั้นได้ดี   
    มันเต็มไปด้วยความโกรธและเสียใจ

           " พวกแกพรากเจมีของฉันไป! ฉันเกลียด   
    พวกแก! เกลียดสงครามเฮงซวยนั่นด้วย! "
    ก่อนจะปิดประตูดังเสียงดังปัง!

                     เจมี คาร์เตอร์ตายในสงคราม

    ในหัวของฉันเคยมีความคิดที่ว่า 
    'แล้วถ้าหากเราไม่ไปร่วมสงคราม 
    หากพวกเราทุกคนต่อต้านมันล่ะ 
    ความปรองดอง และการเจรจา 
    หากเราถอนทัพแล้ว จะเกิดความสูญเสีย​
    ที่น้อยลงหรือเปล่า ถ้าหากเราไม่อยากไปล่ะ 
    มันจะเป็นเช่นไร' 

  • " ฉันไม่เคยลืมภาพในวันนั้นเลย ภาพของเมือง
    ที่ลุกเป็นไฟ ต่อให้ฟ้าเราจะไชโยฉลองความสำเร็จ 
    เสียงดังขนาดไหนแต่เสียงของผู้คน        
    ที่กรีดร้อง  มันก็ยังก้องอยู่ในหัวของฉันตลอด     
    ที่นั่นไม่ใช่สนามรบ มีแต่เหล่าคนธรรมดาที่ใช้ชีวิต
    ปกติของตัวเอง แต่แล้วพวกเราก็เข้าไปพรากชีวิต
    เหล่านั้นมา ฉันทนกับความรู้สึกที่ถาโถมไม่ไหว
    จนแทบบ้าเลยล่ะ มันแย่ไปหมด

    แล้ววันนั้นฉันก็ทำเรื่องที่บ้าที่สุดในชีวิตลงไป
    จนได้ ฉันคว้าปืนมา เจาะเข้าที่ใต้คางตัวเอง
    เล็งในองศาที่เขาว่าโอกาสสำเร็จจะสูงที่สุด
    แล้วฉันก็เหนียวไกลเพราะหยุดเสียงพวกนั้น "
                                                     ลัมแบร์ท ฟรังค์ , หน้า 97


    เป็นฉันที่อาจจะคาดหวังอะไรที่มันใหญ่เกินไป
    ฉันเข้าใจดี เพราะคนอีกฝ่ายในสังคมเดียวกัน
    อาจจะไม่เห็นด้วยแม้จะมีจำนวนคนที่มาก
    เพียงแค่มีอำนาจในมือที่เหนือกว่า ก็เป็น
    ข้อต่อรองที่ยากเข้าไปแล้ว ถึงแม้กระนั้น
    ที่เราไม่ลงมือก็ต้องมีผู้ชิงลงมือต่อ 
    มันอาจจะเป็นความคิดในแง่ดีมากเกินไป
    สำหรับการใช้ความปรองดอง
    หรืองดการตอบโต้ แต่ฉันยังคงหวังว่า
    เราจะหาทางแก้โดยไร้ความรุนแรง

    เพราะสงครามไม่เคยนำพา ไม่เคยนำพาถึง
    ความหวังที่เราค้นหา แม้จะบอกว่าเป็นการ
    ทำเพื่อชาติก็ตามเพื่อทุกคน

    เหมือนกันกับพ่อของคาลวิน อัลเฟรด มิลเลอร์
    ที่กลายเป็นนายทหารในสงคราม
    สู้รบกับศัตรูที่เข้ามารุกรานชาติของตน
    เพราะ ' เรารักชาติ ' นานวันเข้าที่สงคราม
    ยังคงปะทุอยู่เรื่อยมา ไม่มีการตอบกลับจากพ่อ
    พ่อของเขานิสัยดีเกินกว่าที่จะจับปืน
    แล้วยิงฝ่ายศัตรู ตรงข้ามกันแล้วพ่อ
    ดูเป็นคนหัวอ่อนที่รักครอบครัวเสียมากกว่า



    คาลวิน มิลเลอร์ ไม่เคยคิดว่าพ่อของเขาจะรอด
    จากสงคราม เมื่อตายแล้วสิ่งแรกที่เด็กชายทำ
    จึงเป็นการตามหาพ่อในโลกหลังความตาย
    ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนใหม่ 
    ลัมแบร์ท ฟรังค์

    " ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะเสียไปแม้แต่วินาทีเดียว "
                                                      ขออีกฟุตให้หัวใจเราใกล้กัน
    แต่เมื่อชีวิตที่สั้นนั้นจบลง และแทนที่ด้วย
    ชีวิตหลังความตาย หากยังมีเวลา 
    และนั่นคือคาลวิน ที่ลงมือตามหาพ่อ
    ของเขาด้วยความมุ่งมั่น

    เขาไม่ปล่อยให้เวลาเสียไป แม้เวลาในช่วง
    วัยเด็กอีกมากที่เขายังไม่ได้สัมผัส 
    " ที่นั่นไม่ใช่สนามรบมีแต่เหล่าคนธรรมดา
    ที่ใช้ชีวิตปกติของตัวเอง  แต่แล้วพวกเรา
    ก็เข้าไปพรากชีวิตเหล่านั้นมา "
    คาลวิน คุณแม่ และคุณยายเอมิลี 
    รวมถึงคนอื่น ๆ ต่างสูญเสียวันเวลาของตน 
    เมื่อเครื่องบินฝ่ายตรง ข้ามได้เข้ามาจู่โจม 
    จากการวิ่งเล่นไล่จับ สู่การวิ่งหนี
    หาที่ปลอดภัย จนวันที่เขา เจ้าหนูคาลวิน
    ได้เข้าสู่โลกหลังความตาย
  • พออ่านเรื่องนี้จบก็อดที่จะนึกถึง หนูน้อยอีกคนอย่าง
    เดวิด ไปไม่ได้ จากเรื่อง A.I. Artificial Intelligence 
    จักรกลอัจฉริยะ (2001)



    โดยเดวิด มีครอบครัวสามีภรรยารับมาเลี้ยงไว้
    ด้วยความที่อยากมีลูก จนถึงวันหนึ่งที่พวกเขาเอง
    ก็ได้ให้กำเนิดลูกชายตัวน้อย ๆ และเลี้ยงดูจนเติบ
    โตขึ้นเป็นเด็กวันกำลังซนแก่น แน่นอนเมื่อพวกเขา
    มีลูกน้อยเป็นของตัวเอง เดวิดก็ค่อย ๆ มีบทบาท
    ในครอบครัวน้อยลงไป ความสนใจ
    และความเอาใจใส่เริ่มจางลง แม้ว่าเดวิดจะเป็น
    หุ่นยนต์​ แต่ตัวเขาก็มีความรู้สึกนึกคิด และใช่
    ความรู้สึกของเขาที่เด่นชัด 
    คืออยากที่จะได้รับความใส่ใจจากครอบครัว 
    เพียงไม่มีใครสอน  ไม่มีใครบอกเขา
    ว่าเขาต้องทำอย่างไร จึงจะทำให้
    ได้รับความสนใจ ได้รับความอบอุ่น 
    และได้รับอ้อมกอดอันแสนสุขเป็นการปลอบประโลม
    จากแม่  จนทำให้เกิดเหตุการณ์​บางอย่างขึ้น
    นั่นทำให้สามีภรรยาเลือกที่จะปล่อยเดวิดไป
    เพื่อความปลอดภัยของตัวลูกชายของพวกเขาแทน 
    หรือเพราะเดวิด เป็นเพียงแค่หุ่นยนต์ เพราะเขาไม่ใช่มนุษย์ 
    เพราะเขาไม่ได้มีจิตใจ ไม่มีความรู้สึกคล้ายกับพ่อแม่ 
    หรือคนอื่น ๆ งั้นหรือ จึงไม่จำเป็น
    ที่จะต้องพูดอะไร ไม่ต้องสอนว่าควรทำอย่างไร
    ให้ได้ความรักจากสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว
    จึงได้ทิ้งเขาไป อย่างไม่บอกกล่าวถึงความจริง 
    กระนั้นเขาก็ยังคงปรารถนาที่ในสิ่งที่เขา
    ต้องการเสมอมา เขาจึงได้เริ่มเดินทางอีกครั้ง
    เพื่อทำให้ความต้องการนั้นเป็นจริง
    พร้อมเพื่อนร่วมเดินทางคนใหม่ของเขา โจ


    คาลวิน ที่มุ่งมั่นในการตามหาพ่อในโลก
    หลังความตาย เดวิดเองก็ปรารถนา
    ที่จะไปพบนางฟ้าสีน้ำเงิน เพื่อคำขอของเขาเอง
    แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่จะสำเร็จไปได้ลุล่วง
    เพราะความสำเร็จในบางสิ่งก็ต้องแลกไปด้วย
    อีกสิ่งเช่นกันจึงจะสมน้ำสมเนื้อ

    คาลวินพูดกับพ่อของเขาว่านั่นเป็นค่าเสียโอกาส
    แต่ก็ทำให้พบกับพ่ออีกครั้ง

    ส่วนเดวิดก็มีความต้องการอันแรกกล้าเพื่อ
    แลกกับความปรารถนาที่เป็นจริงเพียงหนึ่งวัน...อ้อมกอดของแม่

    ทั้งสองคนอาจจะไม่เสียใจในจุดมุ่งหมาย
    แม้บางทีฉันจะรู้สึกเสียดายแทนก็ตาม
    แต่นั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่ฉันยังไม่มี และยังคงดิ้นรน
    ที่จะมีชีวิตต่อ ฉันยังคงเสียดายเกินกว่า
    ที่จะหายไป ทั้ง ๆ ที่ยังทำอะไรได้ไม่หมด
    ฉันยังคงไม่อยากที่จะเสียโอกาสในเรื่องต่าง ๆ
    ทั้งเพื่อนฝูง คนรู้จัก หรือใครใครที่ผ่านมา
    หรือที่ยังคงอยู่เพราะไม่รู้ถึงจุดหมายกันแน่
    ทั้งรู้ว่าวันใด วันหนึ่งก็ต้องจากไป
    แต่หากได้ทำตามต้องการ ก็อาจจะเสียดาย
    น้อยลง หรืออย่างน้อยก็รู้ว่าใกล้จะตาย
    ไม่ใช่การตายจากไปอย่างทันใด​ ทั้งที่ยัง
    แคลงใจ​ในสิ่งต่าง ๆ อีกมากมาย ณ ที่แห่งนี้
    ก่อนที่จะไปอย่างเงียบเชียบ หรือด้วยทุกข์ระทม
    จากใครใคร

    ป.ล.หากมีผู้อ่านท่านใดได้เข้ามาอ่านด้วยเหตุผลประการไฉน 
    ต้องขอบคุณนะคะ ความคิดเห็นของเรานี้
    อาจจะมีความเห็นที่ตรงกัน หรือแตกต่าง 
    หรืออาจจะไม่ตรงใจผู้อ่านคนใด 
     เราต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และขอบคุณ
    กับการเข้ามาอ่านอีกครั้งค่ะ
    -หวังว่าทุกท่านจะสนุกไปกับการอ่านด้วยกันนะคะ- 

    ส่วนท่านใดที่สนใจ หนังสือเล่มนี้มีจำหน่าย
    ในรูปแบบเล่ม และ e - book

    ในส่วนของรูปเล่ม หาซื้อได้ที่นี่ค่ะ
    กดตรงนี้ ทางทวิตเตอร์  @klinnangsue
    หรืือร้าน klinnangsue และร้าน goodnightlibrary ทางอินสตาแกรมค่ะ 


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
moonnnnnnn (@moonnnnnnn)
คุณเขียนรีวิวดีมากเลยค่ะ รอสำหรับงานครั้งหน้าน้า